ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Theory of Cooperative or
Collaborative Learning)
ทิศนา แขมมณี ได้รวบรวมทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ดังนี้ Johnson
and Johnson (1994) กล่าวไว้ว่า ปฎิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนมี 3 ลักษณะคือ
1.ลักษณะแข่งขันกัน ในการศึกษาเรียนรู้ ผู้เรียนแต่ละคนจะพยายามเรียนให้ได้ดีกว่าคนอื่น
เพื่อให้ได้คะแนนดี ได้รับการยกย่องหรือได้รับการตอบแทนในลักษณะต่างๆ
2.ลักษณะต่างคนต่างเรียน คือ
แต่ละคนต่างก็รับผิดชอบดูแลตนเองให้เกิดการเรียนรู้ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่น
3.ลักษณะร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้ คือ แต่ละคนต่างก็รับผิดชอบในการเรียนรู้ของตน
และในขณะเดียวกันก็ต้องช่วยให้สมาชิกคนอื่นเรียนรู้ด้วย
การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ
3–6คน ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม
โดยผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะแข่งขันกัน ต่างคนต่างเรียนและร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้
การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จะเน้นให้ผู้เรียนช่วยกันในการเรียนรู้
โดยมีกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีการพึ่งพาอาศัยกันในการเรียนรู้
มีการปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด มีการสัมพันธ์กัน มีการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม มีการวิเคราะห์กระบวนการของกลุ่ม
และมีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบงานร่วมกัน
ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้ควรมีการประเมินทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ
โดยวิธีการที่ หลากหลายและควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมิน
และครูควรจัดให้ผู้เรียนมีเวลาในการวิเคราะห์การทำงานกลุ่มและพฤติกรรมของ สมาชิก
สมปอง จันทคง (
http://www.kroobannok.com/blog/35261) ได้กล่าวไว้ว่า ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ
คือการเรียนรู้กลุ่มย่อยโดยสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ
๓-๕
คนช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม เป็นแนวคิดของสลาวิน เดวิด จอห์นสัน และรอเจอร์
จอห์นสัน
มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนมี 3 ลักษณะ คือ
1. ลักษณะของการแข่งขัน ในการศึกษาเรียนรู้ เพื่อให้ได้คะแนนดี ได้รับยกย่อง หรือได้รับการตอบแทนในลักษณะต่าง
ๆ
2. ลักษณะต่างคนต่างเรียน รับผิดชอบในการเรียนของตนเองให้เกิดการเรียนรู้
ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่น
3. ลักษณะร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้ คือ
แต่ละคนต่างก็รับผิดชอบในการเรียนรู้ของตนเอง
และช่วยเพื่อนสมาชิกอื่นเรียนรู้ด้วย
ในปัจจุบันมักส่งเสริมการเรียนรู้แบบแข่งขันซึ่งอาจมีผลทำให้ผู้เรียนเกิด
ความเคยชินต่อการแข่งขันเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์มากกว่าร่วมมือแก้ปัญหา
แต่ก็ให้โอกาสผู้เรียนได้เรียนรู้ทั้ง 3
ลักษณะ
องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือมี 5
องค์ประกอบ
1. การพึ่งพาและเกื้อกูลกัน (positive
interdependence) สมาชิกในกลุ่มมีความสำคัญทุกคน ความสำเร็จของกลุ่มขึ้นอยู่กับสมาชิกทุกคนในกลุ่ม
สมาชิกจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อกลุ่มประสบความสำเร็จ
ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ของตนและในขณะเดี่ยวกันก็ช่วยเหลือสมาชิกคนอื่นๆ
ด้วย เพื่อประโยชน์ร่วมกัน
2. การปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด (fact –to-face promotive
interaction) สมาชิกมีการพึ่งพาช่วยเหลือกัน
เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในการช่วยเหลือให้กลุ่มบรรลุเป้าหมาย
สมาชิกกลุ่มจะไว้วางใจ
ห่วงใย ส่งเสริม ช่วยเหลือกัน เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
3. ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ของสมาชิกแต่ละคน
สมาชิกทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบในการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความ
สามารถไม่มีใครได้รับประโยชน์โดยไม่ทำหน้าที่ของตน
ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจสอบผลงานทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม มีการทดสอบรายคน
รายกลุ่ม สังเกตพฤติกรรมผู้เรียนในกลุ่ม จัดให้มีผู้สังเกตการณ์
การให้ผู้เรียนสอนกันและกัน
4. การใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์ระห่างบุคคลกับการทำงาน
การเรียนรู้แบบร่มมือจะประสบคามสำเร็จได้ต้องอาศัยทักษะหลายประการ เช่น
ทักษะทางสังคม
ทักษะการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น
ทักษะการทำงานกลุ่ม ทักษะการสื่อสาร ทักษะการแก้ปัญหาคามขัดแย้ง
มีความเคารพ ยอมรับ
และไว้วางใจซึ่งกันและกัน
ซึ่งครูควรสอน/ฝึกให้แก่ผู้เรียนเพื่อให้การดำเนินงานไปได้
5. การวิเคราะห์กระบนการกลุ่ม (group processing)การเรียนรู้แบบรวมมือต้องมีการวิเคราะห์กระบวน
การทำงานของกลุ่มเพื่อช่วยให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานของ กลุ่ม
พฤติกรรมสมาชิกกลุ่ม
ผลงานกลุ่ม
การวิเคราะห์การเรียนรู้อาจทำได้ทั้งครูและผู้เรียน
กลุ่มต้องได้รับข้อมูลป้อนกลับ ช่วยฝึกทักษะการคิด
สามารถประเมินการคิดและพฤติกรรมของตนเองได้ ผลดีของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
http://www.tutorgohome.com/otherarticlesz/888-ทฤษฎีการเรียนรู้.html. ได้กล่าวไว้ว่า
แนวคิดของทฤษฏีนี้
คือ การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ
3 – 6 คน ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม
โดยผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะแข่งขันกัน ต่างคนต่างเรียนและร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้
นอกจากนั้นแล้วทฤษฎีการเรียนรู้ยังสามารถแบ่งได้ดังต่อไปนี้อีกด้วย คือ
1. ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เป็นพื้นฐาน
2. ทฤษฎีจากกลุ่มพฤติกรรมนิยม
3. กลุ่มความรู้ (Cognitive)
ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เป็นพื้นฐานของเทคโนโลยีการศึกษานั้นเป็นทฤษฎีที่ได้จาก
2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มพฤติกรรม (Behaviorism)เจ้า ของทฤษฎีนี้คือ พอฟลอบ (Pavlov) ทฤษฎีการวางเงื่อนไข
(Conditioning Theory) กล่าวไว้ว่า
ปฏิกริยาตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งของร่างกายของคนไม่ได้มาจากสิ่งเร้าอย่าง
ใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว
สิ่งเร้านั้นก็อาจจะทำให้เกิดการตอบสนองเช่นนั้นได้
ถ้าหากมีการวางเงื่อนไขที่ถูกต้องเหมาะสม
2. กลุ่มความรู้ (Cognitive) นัก จิตวิทยากลุ่มนี้เน้นความสำคัญของส่วนรวม
ดังนั้นแนวคิดของการสอนซึ่งมุ่งให้ผู้เรียนมองเห็นส่วนรวมก่อน
โดยเน้นเรียนจากประสบการณ์ (Perceptual experience)ทฤษฎีทางจิตวิทยาของกลุ่มนี้ซึ่งมีชื่อว่า
Cognitive Field Theory
สรุป
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Theory of Cooperative or
Collaborative Learning) แนวคิดของทฤษฏีนี้ คือ
การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3 –
6
คน ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม โดยผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะแข่งขันกัน ต่างคนต่างเรียนและร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้
ทิศนา แขมมณี.2550. การสอนจิตวิทยาการเรียนรู้
เรื่องศาสตร์การสอนองค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพ.
พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สมปอง จันทคง.[online]ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลักการและวิธีการสอน. http://www.kroobannok.com/blog/35261. สืบค้นเมื่อ 17 ก.ย. 58.
https://56stuhok.blogspot.com/2015/06/1023401.html?showComment=1630940134722#c8556056088138900705
ตอบลบhttp://www.pgslot-games.co
ตอบลบhttp://www.pgslot-games.com