วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Theory of Cooperative or Collaborative Learning)



ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Theory of Cooperative or Collaborative Learning)

          ทิศนา แขมมณี  ได้รวบรวมทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ดังนี้ Johnson and Johnson (1994) กล่าวไว้ว่า ปฎิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนมี 3 ลักษณะคือ
          1.ลักษณะแข่งขันกัน ในการศึกษาเรียนรู้ ผู้เรียนแต่ละคนจะพยายามเรียนให้ได้ดีกว่าคนอื่น เพื่อให้ได้คะแนนดี ได้รับการยกย่องหรือได้รับการตอบแทนในลักษณะต่างๆ
          2.ลักษณะต่างคนต่างเรียน คือ แต่ละคนต่างก็รับผิดชอบดูแลตนเองให้เกิดการเรียนรู้ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่น
          3.ลักษณะร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้ คือ แต่ละคนต่างก็รับผิดชอบในการเรียนรู้ของตน และในขณะเดียวกันก็ต้องช่วยให้สมาชิกคนอื่นเรียนรู้ด้วย
          การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3–6คน ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม โดยผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะแข่งขันกัน ต่างคนต่างเรียนและร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้ การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จะเน้นให้ผู้เรียนช่วยกันในการเรียนรู้ โดยมีกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีการพึ่งพาอาศัยกันในการเรียนรู้ มีการปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด มีการสัมพันธ์กัน มีการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม มีการวิเคราะห์กระบวนการของกลุ่ม และมีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบงานร่วมกัน ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้ควรมีการประเมินทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ โดยวิธีการที่ หลากหลายและควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมิน และครูควรจัดให้ผู้เรียนมีเวลาในการวิเคราะห์การทำงานกลุ่มและพฤติกรรมของ สมาชิก
          สมปอง จันทคง ( http://www.kroobannok.com/blog/35261) ได้กล่าวไว้ว่า ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ  คือการเรียนรู้กลุ่มย่อยโดยสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ  ๓-๕ คนช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม เป็นแนวคิดของสลาวิน เดวิด จอห์นสัน และรอเจอร์  จอห์นสัน  มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนมี  ลักษณะ คือ
          1. ลักษณะของการแข่งขัน ในการศึกษาเรียนรู้ เพื่อให้ได้คะแนนดี ได้รับยกย่อง หรือได้รับการตอบแทนในลักษณะต่าง ๆ
          2. ลักษณะต่างคนต่างเรียน  รับผิดชอบในการเรียนของตนเองให้เกิดการเรียนรู้  ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่น
          3. ลักษณะร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้  คือ  แต่ละคนต่างก็รับผิดชอบในการเรียนรู้ของตนเอง  และช่วยเพื่อนสมาชิกอื่นเรียนรู้ด้วย  ในปัจจุบันมักส่งเสริมการเรียนรู้แบบแข่งขันซึ่งอาจมีผลทำให้ผู้เรียนเกิด ความเคยชินต่อการแข่งขันเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์มากกว่าร่วมมือแก้ปัญหา  แต่ก็ให้โอกาสผู้เรียนได้เรียนรู้ทั้ง  ลักษณะ
องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือมี  องค์ประกอบ
          1. การพึ่งพาและเกื้อกูลกัน  (positive interdependence)  สมาชิกในกลุ่มมีความสำคัญทุกคน  ความสำเร็จของกลุ่มขึ้นอยู่กับสมาชิกทุกคนในกลุ่ม  สมาชิกจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อกลุ่มประสบความสำเร็จ  ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ของตนและในขณะเดี่ยวกันก็ช่วยเหลือสมาชิกคนอื่นๆ ด้วย เพื่อประโยชน์ร่วมกัน
          2. การปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด  (fact –to-face promotive interaction)  สมาชิกมีการพึ่งพาช่วยเหลือกัน  เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในการช่วยเหลือให้กลุ่มบรรลุเป้าหมาย  สมาชิกกลุ่มจะไว้วางใจ ห่วงใย ส่งเสริม ช่วยเหลือกัน เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
          3. ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ของสมาชิกแต่ละคน  สมาชิกทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบในการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความ สามารถไม่มีใครได้รับประโยชน์โดยไม่ทำหน้าที่ของตน  ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจสอบผลงานทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม  มีการทดสอบรายคน รายกลุ่ม  สังเกตพฤติกรรมผู้เรียนในกลุ่ม  จัดให้มีผู้สังเกตการณ์  การให้ผู้เรียนสอนกันและกัน
          4. การใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์ระห่างบุคคลกับการทำงาน การเรียนรู้แบบร่มมือจะประสบคามสำเร็จได้ต้องอาศัยทักษะหลายประการ เช่น  ทักษะทางสังคม  ทักษะการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ทักษะการทำงานกลุ่ม  ทักษะการสื่อสาร  ทักษะการแก้ปัญหาคามขัดแย้ง  มีความเคารพ  ยอมรับ  และไว้วางใจซึ่งกันและกัน  ซึ่งครูควรสอน/ฝึกให้แก่ผู้เรียนเพื่อให้การดำเนินงานไปได้
          5. การวิเคราะห์กระบนการกลุ่ม (group processing)การเรียนรู้แบบรวมมือต้องมีการวิเคราะห์กระบวน การทำงานของกลุ่มเพื่อช่วยให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานของ กลุ่ม  พฤติกรรมสมาชิกกลุ่ม  ผลงานกลุ่ม  การวิเคราะห์การเรียนรู้อาจทำได้ทั้งครูและผู้เรียน  กลุ่มต้องได้รับข้อมูลป้อนกลับ  ช่วยฝึกทักษะการคิด  สามารถประเมินการคิดและพฤติกรรมของตนเองได้  ผลดีของการเรียนรู้แบบร่วมมือ

          http://www.tutorgohome.com/otherarticlesz/888-ทฤษฎีการเรียนรู้.html. ได้กล่าวไว้ว่า  แนวคิดของทฤษฏีนี้ คือ  การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3 – 6 คน  ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม  โดยผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะแข่งขันกัน  ต่างคนต่างเรียนและร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้
นอกจากนั้นแล้วทฤษฎีการเรียนรู้ยังสามารถแบ่งได้ดังต่อไปนี้อีกด้วย คือ
          1. ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เป็นพื้นฐาน
          2. ทฤษฎีจากกลุ่มพฤติกรรมนิยม
          3. กลุ่มความรู้ (Cognitive)
ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เป็นพื้นฐานของเทคโนโลยีการศึกษานั้นเป็นทฤษฎีที่ได้จาก 2 กลุ่ม คือ
          1. กลุ่มพฤติกรรม (Behaviorism)เจ้า ของทฤษฎีนี้คือ พอฟลอบ (Pavlov) ทฤษฎีการวางเงื่อนไข (Conditioning Theory) กล่าวไว้ว่า ปฏิกริยาตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งของร่างกายของคนไม่ได้มาจากสิ่งเร้าอย่าง ใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว สิ่งเร้านั้นก็อาจจะทำให้เกิดการตอบสนองเช่นนั้นได้ ถ้าหากมีการวางเงื่อนไขที่ถูกต้องเหมาะสม
          2. กลุ่มความรู้ (Cognitive) นัก จิตวิทยากลุ่มนี้เน้นความสำคัญของส่วนรวม ดังนั้นแนวคิดของการสอนซึ่งมุ่งให้ผู้เรียนมองเห็นส่วนรวมก่อน โดยเน้นเรียนจากประสบการณ์ (Perceptual experience)ทฤษฎีทางจิตวิทยาของกลุ่มนี้ซึ่งมีชื่อว่า Cognitive Field Theory

        สรุป
          ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Theory of Cooperative or Collaborative Learning)  แนวคิดของทฤษฏีนี้ คือ  การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3 6 คน  ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม  โดยผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะแข่งขันกัน  ต่างคนต่างเรียนและร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้

        อ้างอิง
          ทิศนา แขมมณี.2550. การสอนจิตวิทยาการเรียนรู้ เรื่องศาสตร์การสอนองค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
          สมปอง จันทคง.[online]ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลักการและวิธีการสอน. http://www.kroobannok.com/blog/35261สืบค้นเมื่อ 17 ก.ย. 58.

2 ความคิดเห็น: